นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวเพื่อความเข้าใจอันดีของพี่น้องประชาชนต่อการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ….

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 เวลา 15.05 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวเพื่อความเข้าใจอันดีของพี่น้องประชาชนต่อการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. …. ซึ่งเกิดเหตุการณ์องค์ประชุมไม่ครบจนทำให้ประธานการประชุมในขณะนั้นต้องสั่งปิดการประชุมอยู่บ่อยครั้งว่า หลังจากมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องแก้ไขร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. …. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. …. ซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 132 (1) บัญญัติว่า การเสนอร่าง พ.ร.ป.ให้เสนอต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ให้แล้วเสร็จภายในเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ซึ่งคือวันที่ 15 ส.ค. 65 อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ราบรื่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ร่าง พ.ร.ป.ทั้งสองฉบับได้ผ่านการเห็นชอบของรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. …. มีการพิจารณาเสร็จสิ้นไปก่อน และส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามรัฐธรรมนูญ คือ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาเรียบร้อยแล้ว ส่วนร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. …. ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นมาตรา 23 ที่เกี่ยวกับสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ด้วยการหาร 100 ตามที่คณะ กมธ.เสียงข้างมากมีมติเห็นชอบ หรือหารด้วย 500 ตามที่รัฐสภาเห็นชอบ จนส่งผลให้มีความแตกต่างทางความคิดและเกิดเหตุการณ์ที่หลายฝ่ายต่างประวิงเวลาเพื่อให้การพิจารณาไม่สามารถเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใด และไม่ใช่อุบัติเหตุร้ายแรงทางการเมือง แต่เป็นการแสดงเจตจำนงค์ของสมาชิกรัฐสภาเท่านั้น โดยประธานรัฐสภาและรองประธานรัฐสภาได้พยายามให้เวลาและความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างถึงที่สุดแล้ว จนทำให้เกิดการหารือร่วมกับวิป 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา และนัดประชุมครั้งสุดท้ายในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะสามารถพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ตามกำหนดระยะเวลาได้ แต่ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถพิจารณาต่อไปได้ และต้องกลับไปใช้ร่างที่รัฐสภาเห็นชอบให้เป็นร่างหลักในการพิจารณาวาระที่ 1 แทน โดยหลังจากนี้ประธานรัฐสภาจะส่งร่าง พ.ร.ป.ฉบับดังกล่าวไปให้ กกต.พิจารณาตามกระบวนการต่อไป