นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายนพดล แก้วสุพัฒน์ ส.ส.พรรคพลังท้องถิ่นไท และนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และคณะ รับยื่นหนังสือจาก นายวิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และคณะ

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2565 เวลา 11.30 นาฬิกา ณ จุดรับยื่นหนังสือ ชั้น 1 (โซนกลาง) อาคารรัฐสภา นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายนพดล แก้วสุพัฒน์ ส.ส.พรรคพลังท้องถิ่นไท และนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และคณะ รับยื่นหนังสือจาก นายวิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และคณะ เรื่อง ขอคัดค้านบทบัญญัติบางประเด็นในร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่สภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้ง คณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น และมอบอำนาจให้พิจารณาร่างการเข้าชื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... ด้วยนั้น โดยที่ตามความในมาตรา 77 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติไว้ว่า "ก่อนการตรากฏหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน แต่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวไม่มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนแต่อย่างใด กล่าวคือ
1. ยังคงมีบทบัญญัติให้ผู้กำกับดูแล เข้ามาใช้อำนาจ เช่น อำนาจบังคับบัญชาสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นที่ผู้กำกับดูแล มาจากฝ่ายบริหาร และมีสิทธิตั้งกรรมการตรวจสอบขึ้นมาเอง อาจจะเป็นความไม่เป็นกลางได้
2.ร่าง พ.ร.บ. การเข้าชื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... เป็นกฎหมายการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งมิใช่กฎหมายเกี่ยวกับการกำกับดูแล รวมทั้งยังมีปัญหาการตั้งกรรมการสอบสวนที่ซ้ำซ้อนกับบทบัญญัติของกฎหมายที่ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ มีอำนาจสอบสวนสมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น อยู่แล้ว การบัญญัติกฎหมายขึ้นมาซ้ำช้อน ก่อให้เกิดปัญหาแก่ผู้ที่นำกฎหมายไปปฏิบัติ มิใช่กฎหมายเกี่ยวกับการใช้อำนาจของส่วนกลางในการเข้ามากำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจะไม่ปกปิดชื่อของประชาชนที่เข้าชื่อถอดถอน อาจทำให้เกิดความแตกแยกของประชาชนในท้องถิ่นได้