การประชุมประจำปีรัฐสภาภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก (APPF) ครั้งที่ 29 (วันที่ 2) ระหว่างเวลา 08.30-11.00 นาฬิกา เป็นการประชุมคู่ขนานทั้งหมด 2 การประชุม ได้แก่ 1. การประชุมเต็มคณะ วาระที่ 1 ด้านการเมืองและความมั่นคง และ 2. การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างข้อมติและแถลงการณ์ร่วมการประชุม APPF ครั้งที่ 29
ในการประชุมเต็มคณะ วาระที่ 1 ด้านการเมืองและความมั่นคง พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ สมาชิกวุฒิสภา และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทย ได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ซึ่งผู้แทนฯ ทั้ง 2 คน ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมในช่วงดังกล่าวด้วย โดยนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวถ้อยแถลงภายใต้หัวข้อ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบพหุภาคีของภูมิภาคและการแก้ไขปัญหาตามกฎเกณฑ์ (Strengthening regional multilateralism and addressing issues based on rules) โดยได้กล่าวถึง ระบบพหุภาคีที่ถูกท้าทายจากแนวคิดชาตินิยมและผลประโยชน์แห่งชาติ แต่ด้วยปัญหาปัจจุบันที่มีความซับซ้อนและเป็นประเด็นข้ามชาติ ความร่วมมือระหว่างประเทศ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในวิกฤติการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยระบบพหุภาคีในอนาคตยังคงต้องการรัฐสภาและสมาชิกรัฐสภาในการเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นและนำนโยบายไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศ ตลอดจนบทบาทของรัฐสภาไทยในการสนับสนุนรัฐบาลในการรักษาไว้ซึ่งการปกครองระหว่างประเทศและระเบียบที่มีกฎกติกาเป็นรากฐาน
พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้กล่าวถ้อยแถลงภายใต้หัวข้อ ความเป็นผู้นำของรัฐสภาเพื่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและที่อื่น ๆ (Parliamentary leadership for peace and security in the Asia-Pacific and beyond) โดยได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่จะรักษาความหวังและความฝันของประชาชนให้คงอยู่ โดยประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสันติภาพ ตลอดจนการสร้างสภาพแวดล้อมที่สงบสุขและมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมถึงหน้าที่ของรัฐสภาต่อการทบทวน ประเมิน และให้ข้อเสนอแนะในการนำนโยบายไปปฏิบัติ รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณ
สำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างข้อมติและแถลงการณ์ร่วมของการประชุม APPF ครั้งที่ 29 นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทย ได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยมีนาย Hong Ihk-Pyo สมาชิกรัฐสภาสาธารณรัฐเกาหลีเป็นประธานการประชุม และมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม จำนวน 8 ประเทศ โดยที่ประชุมร่วมกันพิจารณาและรับรองร่างข้อมติ จำนวน 13 ร่างข้อมติ ซึ่งร่างข้อมติดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานและการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างข้อมติฯ ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งหมด 3 ครั้ง
อนึ่ง การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างฯ จะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 15 ธันวาคม 2564 เวลา 07.00-10.00 นาฬิกา เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุม APPF ครั้งที่ 29
ในช่วงบ่าย ตั้งแต่เวลา 13.30-16.30 นาฬิกา เป็นการประชุมเต็มคณะ วาระที่ 2 ด้านเศรษฐกิจและการค้า โดยในการประชุมดังกล่าว นายสุภดิช อากาศฤกษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทย ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมในช่วงดังกล่าวด้วย
นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนรัฐสภาไทย ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงภายใต้หัวข้อ การเร่งให้เกิดเศรษฐกิจดิจิทัลและการเพิ่มความเชื่อมโยง (Accelerating Digital Economy and enhancing connectivity) โดยได้กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวม ประเทศต่าง ๆ จึงต้องเร่งพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์โรคระบาด ขจัดความยากจน ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี รักษาสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยนำเสนอโมเดลเศรษฐกิจไทยแลนด์ 4.0 และเน้นย้ำบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดแนวทางการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ รวมทั้งบทบาทของรัฐสภาไทยในการตรากฎหมายเพื่อรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงกำหนดแนวทาง มาตรการการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์
นอกจากนี้ นายสุภดิช อากาศฤกษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงภายใต้หัวข้อ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม (Strengthening international cooperation for greater economic resilience and inclusive economic recovery) โดยได้กล่าวถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในมิติต่าง ๆ ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และการพัฒนาในทุกระดับ ความพยายามที่จะจัดการกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดทั้งในด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียวและการพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG และบทบาทรัฐสภาไทยในการให้ความเห็นชอบพระราชกำหนดหลายฉบับเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 และมีคณะกรรมาธิการสามัญของทั้งสองสภาและคณะกรรมาธิการวิสามัญที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่พิจารณาและติดตามการใช้เงินกู้และมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย โดยเน้นย้ำว่าความร่วมมือระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของสถาบันพหุภาคีเป็นส่วนสำคัญ โดยรัฐสภาควรใช้บทบาททางด้านนิติบัญญัติติดตามนโยบายและพันธกิจของรัฐเพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนและชุมชนได้รับประโยชน์อย่างยั่งยืน
เครดิต : ข่าว โดย กลุ่มงานกิจการพิเศษ สำนักองค์การรัฐสภาระหว่างประเทศ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร |