วันพุธที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๑ อาคารรัฐสภา นายบัลลังก์ อรรณนพพร รองประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ และทรัพย์สินทางปัญญา คนที่หนึ่ง และคณะ แถลงผลการประชุมของคณะ กมธ. จากการประชุมของคณะ กมธ. ที่มีวาระการพิจารณา กรณีองค์การคลังสินค้า ทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางกับบริษัทเอกชน มูลค่า ๑๑๒,๕๐๐ ล้านบาท นั้น คณะ กมธ. มีข้อสังเกตว่าการทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจาก ๑. การทำสัญญาไม่เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง องค์การคลังสินค้า พ.ศ. ๒๔๙๘ ที่กำหนดให้ อคส. เป็นองค์การที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับ การทำกิจการทั้งปวงเกี่ยวกับสินค้าเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งธุรกิจบริการ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากถุงมือยางเทียมเป็นสินค้า อุตสาหกรรมทางการแพทย์ ๒. อดีตรักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ผู้ซึ่งลงนามในสัญญา อ้างว่าได้ศึกษา จากสัญญาการซื้อขายข้าวขององค์การคลังสินค้าซึ่งสัญญาดังกล่าว ได้เห็นชอบจาก สำนักนิติการและสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว โดยนำมาเปลี่ยนสาระบางส่วน เช่น จากซื้อขาย ข้าวสารเป็นการซื้อขายถุงมือยาง โดยอ้างว่าเป็นสัญญาที่ไม่ได้เปลี่ยนสาระสำคัญจึงไม่ต้อง เสนอขอความเห็นชอบใหม่ ซึ่งคณะ กมธ. เห็นว่า ไม่ควรนำมาใช้เทียบเคียงกับการทำสัญญา ซื้อขายถุงมือยาง ทั้งนี้ คณะ กมธ. มีข้อเสนอแนะดังนี้ ๑) อคส. ควรไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษฟ้องคดี เพื่อดำเนินคดีกับอดีตรักษาการ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าในความผิดฐานฟอกเงิน และขอให้มีการคุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้เกิดการยึดอายัดเงินที่นำไปวางมัดจำที่จ่ายไปล่วงหน้ากับบริษัทเอกชนคู่สัญญามาคืน ให้ อคส. ได้อย่างทันท่วงทีต่อไป ๒) อคส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหามาตรการในการติดตามเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท เนื่องจากเป็นเงินภาษีของประชาชน ๓) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะกรรมการ อคส. ควรมีส่วนรับผิดชอบ เนื่องจากมีหน้าที่และอำนาจในการกำกับดูแลการดำเนินของ อคส. รวมทั้งเพื่อตอบข้อสงสัย ของสังคมกับเรื่องที่เกิดขึ้น ๔) การทำนิติกรรมดังกล่าวน่าจะเป็นความผิดทางอาญาเพราะ อคส.นำเงินหลวงไปจ่าย มัดจำกับบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดปกติ ทำให้เกิดรัฐเกิดความเสียหาย และบริษัท ที่เป็นคู่สัญญาซื้อขายก็ได้รับผลกระทบด้วย |