วันศุกร์ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๓๐ นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๑ อาคารรัฐสภา นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และคณะ แถลงข่าว สรุปผลการประชุมเพื่อประกอบรายงานร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา โดยมีประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๑. การเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นกรณีที่เปลี่ยนแนววิธีการจัดเก็บภาษีสำหรับ ผู้ใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตามประมวลรัษฎากร ในปัจจุบันกำหนดให้ประชาชนหรือนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีหน้าที่ นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้บริการเหล่านี้ แต่พบว่าในทางปฏิบัตินั้นส่วนใหญ่ ไม่มีการนำส่งภาษี ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ. นี้ จึงได้กำหนดให้ผู้ให้บริการซึ่งเป็นนิติบุคคล ที่จดทะเบียนในต่างประเทศเป็นผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเป็นหลักการที่ กฎหมายเดิมกำหนดไว้อยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ธุรกิจและประชาชน ลดต้นทุนในการจัดทำเอกสารหลักฐานหรือหนังสืออื่นใดที่เกี่ยวกับภาษีอากร โดยให้ สามารถจัดทำด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษี มูลค่าเพิ่มได้อีกประมาณปีละ ๕,๐๐๐ ๖,๐๐๐ ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญ คือ แนวทางในการปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจะต้องมีการออกกฎกระทรวง ในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อกำหนดกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจน รวมทั้งต้อง ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้แก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ อย่างทั่วถึง ๒. หลักในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นจะมีการจัดเก็บภาษีจากสินค้าและการให้บริการ ดังนั้น คำนิยามของสินค้าและบริการจึงต้องมีความชัดเจน โดยในอดีตสินค้า คือ ทรัพย์สิน ที่จับต้องได้ รวมถึงทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ ส่วนคำว่าบริการจะมีความหมายกว้าง ๆ ว่าสิ่งที่ไม่ใช่สินค้า อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงไม่ต้องการ ให้มีความสับสนในเรื่องของสินค้า โดยกฎหมายได้กำหนดคำนิยามในเรื่องบริการ อิเล็กทรอนิกส์ไว้ในร่างมาตรา ๕ กล่าวคือ เมื่อกฎหมายนี้มีการบังคับใช้แล้วจะมีการ จัดเก็บภาษีจากสินค้าและบริการ ๓ ประเภทหลัก คือ สินค้าทั่วไป บริการทั่วไป และ บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่สับสนในการใช้บริการ ทางอิเล็กทรอนิกส์ และไม่ต้องมีการแก้ไขกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการใช้สินค้าและ บริการทั่วไป จึงเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการจะแยกกลุ่มของการจัดเก็บภาษี ให้มีความชัดเจน ๓. การเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นการวางรากฐานการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ และจะนำไปสู่แนวคิดในการจัดเก็บภาษีรายได้ หรือยอดขายของผู้ประกอบการเหล่านี้ต่อไปในอนาคต รวมถึงเป็นการลดช่องว่าง ความไม่เท่าเทียมกันในการเสียภาษีของผู้ประกอบการที่อยู่ในประเทศไทย และ ต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้หลังจากผ่านการพิจารณาของรัฐสภา และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ ๖ เดือน ซึ่งทางกรมสรรพากรยืนยันกับคณะ กมธ. ว่าสามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนดเวลา ดังกล่าวอย่างแน่นอน
|