วันพุธที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๑๕ นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๑ อาคารรัฐสภา นางมุกดา พงษ์สมบัติ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ รับยื่นหนังสือ จาก รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล ผู้แทนเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้อง ไม่พร้อม และเครือข่ายภาคประชาสังคมรวม ๔๐ องค์กร เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหา การทำแท้ง เป็นเวลากว่า ๖๐ ปีแล้ว ที่ประเทศไทยได้บังคับใช้ประมวลกฎหมาย อาญาที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งมาตรา ๓๐๑-๓๐๕ โดยกำหนดบทลงโทษทางอาญา ต่อผู้หญิงที่ทำแท้งไว้ในมาตรา ๓๐๑ และมีข้อยกเว้นบทลงโทษผู้กระทำการให้ ผู้หญิงแท้งในกรณีของแพทย์ รวมถึงเงื่อนไขความจำเป็นบางประการในกรณีที่จำเป็น ต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของผู้หญิง หรือหญิงมีครรภ์จากการกระทำความผิดอาญา ในทางปฏิบัติพบว่า มีคดีที่กระทำความผิดตามมาตรา ๓๐๑ ขึ้นสู่ศาลน้อยมาก เนื่องจาก การทำแท้ง มีลักษณะเป็นอาชญากรรมที่ปราศจากเจ้าทุกข์ หรือ เป็นการกระทำความผิด ที่ไม่มีผู้เสียหาย กล่าวคือเป็นการกระทำที่ผู้กระทำยินยอมให้ผลของการกระทำนั้น เกิดกับตัวผู้กระทำเอง โดยที่กฎหมายบัญญัติให้การกระทำนั้นเป็นความผิดไว้ หรือ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการกระทำที่ผู้กระทำเป็นทั้งอาชญากรและเป็นเหยื่อไปพร้อม ๆ กัน จึงเป็นการยากที่จะพิจารณาถึงผู้เสียหายได้โดยชัดเจนเพราะเป็นเรื่องของความยินยอม ซึ่งทำให้ยากแก่การจับกุมและปราบปรามเพราะทั้งผู้ให้บริการทำแท้งและตัวหญิง ที่ยินยอมให้ทำแท้งจะไม่มีฝ่ายใดดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ จากข้อมูลการเฝ้าระวัง การทำแท้งของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้หญิงที่ตัดสินใจทำแท้งจำนวน ร้อยละ ๖๐ ทำแท้งด้วยเหตุผลทางสังคม และเศรษฐกิจ ในขณะที่ร้อยละ ๔๐ ทำแท้ง ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพร่างกาย แสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่บังคับใช้ ในมาตรา ๓๐๕ ที่ยกเว้นการลงโทษในกรณีที่แพทย์ยุติการตั้งครรภ์ให้กับผู้หญิงด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ร่างกาย และการตั้งครรภ์จากการกระทำความผิดทางอาญาไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหา สถานการณ์ความเป็นจริงในปัจจุบัน ขณะเดียวกันเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันได้พัฒนาก้าวหน้ามากสามารถให้ บริการดูแลรักษารองรับการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ ได้อย่างปลอดภัย จึงอยากให้ปรับปรุง แก้ไขกฎหมายดังกล่าว โดยนางมุกดา พงษ์สมบัติ กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ยินดีที่จะนำ เสนอข้อมูลดังกล่าว เพื่อที่จะศึกษาและนำไปสู่การแก้ไขเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ประชาชน
|