นายประเสิรฐพงษ์กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสร่วมเป็นกมธ.ดังกล่าว ซึ่งในที่ประชุม ได้มีการพิจารณาในสาระสำคัญของร่างกฏหมาย และตนได้สงวนคำแปรญัตติโดยมีสารสำคัญที่เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นความกังวลของพรรคก้าวไกลและเป็นข้อกังวลที่ตรงกับสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย รวมทั้งกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ โดยมีข้อกังวลว่าการยกร่างของคณะ กมธ.นั้น มีการเสนอตัวร่างกฎหมายที่ไปเพิ่มอำนาจให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกฏหมายดังกล่าวได้กล่าวถึงหลักการของรัฐธรรมนูญ ม.254 ซึ่งจะต้องเพิ่มอำนาจประชาชนมิใช่เพิ่มอำนาจให้แก่ผู้กำกับดูแล เนื่องจากมีบทบาทในการสอบสวนและการถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ทางพรรคก้าวไกลเห็นด้วยกับการปรับลดจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนถอดถอนเพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิเข้าชื่อกันเพื่อเสนอข้อบัญญัติหรือเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นได้ แต่จะต้องมีบทบัญญัติที่เป็นหลักประกันว่าคะแนนถอดถอนต้องไม่น้อยกว่าคะแนนที่ถูกถอดผู้ถอดถอนได้รับการเลือกตั้งมา  ซึ่งรัฐธรรมนูญ ม.254 เป็นฐานอำนาจในการนำเข้าสู่การตรากฎหมายเพื่อเข้าชื่อถอดถอนและเพื่อให้อำนาจแก่ประชาชนเท่านั้น มิได้ให้อำนาจในการตรากฎหมายแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือนายอำเภอ หรือผู้ว่าราชการจังหวัดในการสอบสวนหรือถอดถอนแต่อย่างใด ส่วนในเนื้อหาของกฎหมายนั้นเฉพาะอำนาจของผู้มีสิทธิกำกับดูแล สามารถสั่งแขวนสมาชิกหรือผู้บริหารท้องถิ่นได้เทียบเท่ากับอำนาจตาม ม. 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ซึ่งล้วนแต่เป็นการตรากฎหมายเกินกว่าอำนาจที่กฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ใน ม. 254 ดังนั้นพรรคก้าวไกลจึงร่วมกับสมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขอให้ กมธ.พิจารณาถอดบทบัญญัติดังกล่าวออกจากร่างกฏหมาย

 

ทั้งนี้กมธ. จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในหลายพื้นที่ จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ได้เกิดความเป็นธรรม เหมาะสม และป้องกันการเกิดความแตกแยกของประชาชนในสังคมต่อไป