วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564 เวลา 10.40 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ ส.ส. จังหวัดมุกดาหาร พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวชี้แจงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงข่าวเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 64 ชี้มูลความผิดว่าตนเรียกรับเงินอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล 5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณว่า ตนไม่ได้เรียกรับเงิน หรือกระทำความผิด หรือมีส่วนเกี่ยวข้องตามที่กล่าวอ้าง แต่การที่ ป.ป.ช. ออกมาแถลงข่าวนั้นเป็นการชี้นำสังคมและมีเจตนาทำลายชื่อเสียงของตน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าตนเรียกรับเงิน โดยตนได้ทำงานด้านการเมืองมาตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ และไม่เคยมีประวัติในเรื่องทุจริต ซึ่งการกล่าวหาว่าตนเรียกรับเงินโดยอ้างเพียงว่ามีพยานแวดล้อมที่เชื่อได้ว่ามีการเรียกรับเงินจริงเท่านั้น เป็นการกล่าวหาโดยเลื่อนลอย สร้างความเสียหายต่อตนเองและวงศ์ตระกูล ซึ่งตนจะนำหลักฐานไปพิสูจน์ในชั้นศาล สำหรับกรณีการพิจารณางบประมาณดังกล่าวนั้น ตนเป็นรองประธานคณะอนุ กมธ.บูรณาการ 2 มีหน้าที่ตรวจสอบ เรียกเอกสาร และสอบถามถึงหลักเกณฑ์ วิธีการขุดเจาะน้ำบาดาล รวมทั้งการบริหารงบประมาณเพื่อประโยชน์ของทางราชการเท่านั้น โดยขอชี้แจงในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1. ประเด็นที่ ป.ป.ช. กล่าวว่า ตนได้สอบถามอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อเปิดทางเรียกรับเงินนั้น ไม่เป็นความจริง โดยตนทำหน้าที่อนุ กมธ. ที่ต้องตรวจสอบว่าราคาการขุดเจาะน้ำบาดาลมีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งพบว่ามีการตั้งราคาสูงกว่าท้องตลาดถึง 10 เท่า จึงได้สอบถามและขอแบบ รวมทั้งประมาณการต่าง ๆ ในการขุดเจาะมาตรวจสอบเพื่อประโยชน์ของทางราชการ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับเอกสารใด ๆ และการพิจารณาของคณะอนุ กมธ. จะมีรายงานการประชุมทุกครั้งซึ่งสามารถตรวจสอบได้
2. ประเด็นการเรียกรับเงินเพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากตน หรือคณะอนุ กมธ. หรือ คณะกมธ. ก็ไม่มีอำนาจนั้น เพราะการพิจารณางบประมาณเป็นอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร และต้องใช้มติในสภาฯ โดยเฉพาะการเป็นฝ่ายค้านและจะมีอำนาจเปลี่ยนแปลงงบประมาณนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
3. ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลนั้น ตนไม่ได้รู้จักกับอธิบดีเป็นการส่วนตัว และในการประชุมเพื่อพิจารณางบประมาณ อธิบดีได้กล่าวว่าตนตรวจสอบกรมทรัพยากรน้ำบาดาลละเอียดเกินไป และทางกรมก็ยังไม่ได้ให้เอกสารมาตรวจสอบ ทั้งนี้ ในวันที่ตนถูกกล่าวหาว่าเรียกรับเงินนั้น มีอนุ กมธ. 4 คน นั่งอยู่ด้วยในขณะที่ได้พูดคุยโทรศัพท์กับอธิบดี โดยในวันดังกล่าว อธิบดีได้โทรศัพท์มาหาตน แต่ตนไม่ได้รับสายเพราะเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก แต่เมื่อทราบว่าเป็นหมายเลขของอธิบดี จึงได้โทรศัพท์กลับไปพูดคุยและสอบถามถึงแบบ รวมทั้งประมาณการในการขุดเจาะน้ำบาดาลเท่านั้น ซึ่งในขณะที่กำลังพูดคุยอยู่ ได้มี กมธ. คนหนึ่งขอพูดคุยกับอธิบดีต่อ โดยนำโทรศัพท์ของตนออกไปคุยด้านนอก และนำโทรศัพท์กลับมาคืนให้หลังจากที่พูดคุยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตนไม่ทราบว่ามีการพูดคุยกันเรื่องใด
4.เมื่อคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้แจ้งขอกล่าวหามายังตนว่าอธิบดีให้การว่าตนเรียกรับเงิน 5 ล้านบาท ตนได้ให้ทนายความดำเนินคดีกับอธิบดีทันที แต่ในขณะเดียวกัน การที่อธิบดีอ้างว่าถูกเรียกเงินนั้นกลับไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีใด ๆ กับตน จึงตั้งข้อสังเกตว่าไม่ได้มีการเรียกรับเงินตามที่กล่าวอ้าง และไม่มีหลักฐานเพื่อนำไปแจ้งความ
5. คณะอนุกรรมการไต่สวน ไม่ให้ความเป็นธรรมกับตน โดยคดีดังกล่าวมีอายุความ 20 ปี โทษถึงประหารชีวิต ดังนั้น ตนจึงได้ขอเอกสารไปยังกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อนำมาชี้แจงแสดงเหตุผลว่าตนไม่มีความผิดแต่ก็ยังไม่ได้รับเอกสาร จึงได้แจ้งไปยังคณะอนุกรรมการไต่สวนให้รอเอกสารก่อน แต่คณะอนุกรรมการไต่สวนก็รีบเร่งสรุปสำนวนเสนอเพื่อชี้มูลตน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล ทั้งนี้ ในการแก้ข้อกล่าวหานั้น ตนได้อ้างถึงประจักษ์พยาน 4 ปาก แต่ ป.ป.ช. กลับเรียกไปสอบเพียง 1 ปาก เท่านั้น ซึ่งหากคณะอนุกรรมการไต่สวนให้ความเป็นธรรมกับตนโดยเรียกประจักษ์พยานอีก 3 ปาก ไปให้การด้วยก็เชื่อว่า ป.ป.ช. จะไม่สามารถชี้มูลตนได้ ดังนั้น ตนจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด
6.การแถลงข่าวของ ป.ป.ช. ดังกล่าว สร้างความเสียหายให้แก่ตนเองเป็นอย่างมาก เนื่องจากตนทำงานการเมืองมา 27 ปี พี่น้องประชาชนชาวมุกดาหารได้ให้ความสนับสนุนตนมาโดยตลอด ซึ่งหน้าที่ของ ป.ป.ช. นั้น มีเพียงการรวบรวมพยานหลักฐานและค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อนำส่งอัยการฟ้องศาลเท่านั้น ดังนั้น จึงเห็นว่า ป.ป.ช. และคณะอนุกรรมการไต่สวนใช้อำนาจเกินขอบเขต อีกทั้งรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรค 2 บัญญัติว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิดมิได้ ดังนั้น การแถลงข่าวของ ป.ป.ช. มีเจตนาประจานและปฏิบัติต่อตนเหมือนเป็นผู้ที่ได้กระทำผิดแล้ว ทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ในชั้นศาลหรือมีคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา
ในการนี้ จึงขอยืนยันความบริสุทธิ์ว่า ไม่เคยรู้จักกับอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาแต่อย่างใด และจะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ทำให้ตนได้รับความเสียหาย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในการแถลงข่าวชี้นำสังคมทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น อย่างไรก็ตาม หาก ป.ป.ช. ได้ดำเนินการตรวจสอบพยานหลักฐานตามที่ตนได้กล่าวถึงข้างต้นและปรากฏว่าเป็นความจริงก็ขอให้ ป.ป.ช. ทบทวนมติและคืนความเป็นธรรมให้แก่ตน รวมทั้งพี่น้องชาวมุกดาหารด้วย
|