ตร.จ่อหมายจับกลุ่มอิทธิพลปล่อยขายสินค้าผิดกฎหมาย สอบ200ผู้ค้าขยายผลมาเฟีย
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Thursday, May 10, 2018  06:50
38094 XTHAI XLOCAL DAS V%PAPERL P%KT

          ตั้ง รองผบ.ตร.'รุ่งโรจน์' คุมคดีตลาดใหม่ดอนเมือง
          กรุงเทพธุรกิจ ระดมตำรวจ 100 นาย เร่งสอบผู้ค้าตลาดใหม่ดอนเมืองกว่า 200 คน เป็นพยาน ขยายผลเรียกค่าคุ้มครอง รวมถึงปมขายสินค้าไร้คุณภาพ ปลอมแปลง อย. ด้าน "สันธนะ" ป่วนทำเนียบฯ ขอพบนายกฯ แต่ไร้หลักฐานคนในรัฐบาลทุจริต กสทช.-อย. มอนิเตอร์ 3 เดือน ชี้หากพบโฆษณาเกินจริงเผยแพร่ ทีวี วิทยุ เว็บไซต์ จ่อลงโทษสูงสุด
          ตำรวจยังคงเดินหน้าขยายผลหลัง การเข้าตรวจค้นสินค้าผิดกฎหมายในตลาดใหม่ดอนเมือง โดยพุ่งเป้าไปยังเรื่องการเรียกเก็บผลประโยชน์ของกลุ่มผู้มีอิทธิพล เพื่อให้ ผู้ค้าสามารถขายสินค้าผิดกฎหมายได้อย่างเปิดเผย ล่าสุด พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้ตั้งทีมพนักงานสอบสวน ประมาณ 100 นาย ไปประจำการที่สโมสรตำรวจ เพื่อให้ความสะดวกในการเดินทางมาให้ปากคำของผู้ค้า จากตลาดใหม่ดอนเมือง กว่า 200 คน ที่เดินทางเข้าพบกับทีมพนักงานสอบสวนดังกล่าวแล้ว คาดว่าจะสามารถสอบปากคำเสร็จในช่วงเย็นวันที่ 9 พ.ค.
          สำหรับการสอบสวนก็เพื่อหาพยาน หลักฐานเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและอาหารเสริมที่ผิดกฎหมาย หรือ ความผิด ในส่วนของผู้มีอิทธิพลเรียกรับผลประโยชน์ภายในตลาด หรือ มาเฟียเรียกเก็บค่าคุ้มครอง และหลังจากสอบปากคำจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำไปสู่การออกหมายจับ
          "ตำรวจได้รับความร่วมมือ จากพยานและเจ้าทุกข์กว่า 200 คน ซึ่งเดินทางมาอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นจึงจะสรุปผลการสอบสวน ก่อนจะทำการสอบสวนหา ผู้กระทำผิดในโอกาสต่อไป  และขอยืนยันว่า ประเทศไทยพัฒนาแล้ว กฎหมายต้องนำมา บังคับใช้อย่างเคร่งครัด จะต้องไม่มี ผู้มีอิทธิพล หรือมีการเรียกเก็บค่าคุ้มครอง"
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ห้องสอบสวนชั่วคราว สโมสรตำรวจ มีการนำฉากมาปิดกั้น พร้อมกับติดป้ายระบุ ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้า โดยสื่อมวลชนพยายามเก็บภาพบรรยากาศการสอบสวน แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการถ่ายรูปหน้าตรง ถ่ายบัตรประจำตัวของนักข่าว ไว้ตรวจสอบเนื่องจาก ที่ผ่านมามีบุคคลได้แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้สื่อข่าว ทำให้ฝ่ายตำรวจต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
          พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีความขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาตลาดใหม่ดอนเมือง หรือไม่นั้น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บอกว่า ในฐานตำรวจ ไม่เคยทะเลาะหรือไม่มีคู่กรณีกับใคร สามารถพูดคุยกันได้ตามปกติ
          "การตรวจค้นตลาดใหม่ดอนเมืองไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง เพราะตำรวจทำในรูปแบบของคณะพนักงานสอบสวน จึงไม่ได้รู้สึกกังวลหรือกดดันในการทำหน้าที่ แม้ พ.ต.ท.สันธนะ จะออกมาเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า มีข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตต่อหน้าที่ ในทางกลับกัน ยินดีรับข้อมูลไว้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐคนดังกล่าวที่เรียกรับผลประโยชน์" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าว
          พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ยอมรับว่าการปฏิบัติงานที่ผ่านมาอย่างกรณีที่ตนเป็นหัวหน้าชุดปราบปราม สนามม้า อาจจะทำให้มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่พอใจ แต่ยืนยันว่า ได้ทำไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐและประชาชน
          ข้อสงสัยคำสั่งตั้ง"รุ่งโรจน์"แทน"วิระชัย"
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) มีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. ด้านงานบริหาร(บร.) เป็นประธานชุดคณะทำงานคดีที่มีการกวาดล้างเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไม่มีคุณภาพ ไม่มีอย. เป็นสินค้าผิดกฎหมายในพื้นที่ตลาดใหม่ดอนเมือง ซึ่งเดิม พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รับผิดชอบมาโดยตลอด
          ขณะเดียวกันคำสั่งแต่งตั้งประธาน คณะทำงานดังกล่าว ยังไม่มีใครเห็นเอกสารคำสั่งอย่างเป็นทางการ และยังไม่มีรายละเอียดตัวบุคคลที่ร่วมคณะทำงานมีเพียงพูดถึงกรอบการทำงานว่าจะเป็นการขยายผลต่อเนื่องจากการทำงานของคณะพล.ต.อ.วิระชัย ทั้งเรื่องสินค้าผิดกฎหมาย สินค้าไม่มีคุณภาพ ไม่มี อย.โดยเฉพาะการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและการเรียกรับผลประโยชน์
          แหล่งข่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าจากคำสั่งเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบ การทำงานไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา แต่จะดำเนินการให้เร็วที่สุดหลังจากที่ตำรวจได้รับทราบข้อมูล มีหลักฐานแล้วบางส่วน ส่วนจะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการตำรวจสันติบาล (รอง ผบก.ส.)ในฐานะประธานที่ปรึกษา บริษัท พัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง หรือไม่นั้น ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเนื่องจากต้องรอการสืบสวนสอบสวนขยายผลก่อน และขอยืนยันว่า ใครที่ไปเกี่ยวข้องจะดำเนินการทุกราย
          "การแต่งตั้ง พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ ซึ่งเป็นรองผบ.ตร. ที่กำกับดูแลงานด้านการบริหาร มาเป็นประธานคณะทำงานคลี่คลายคดีตลาดใหม่ดอนเมือง ถือว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ ผบ.ตร. ที่สามารถแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร. คนใดคนหนึ่งมารับมอบหมายงานสำคัญได้พร้อมยืนยันว่าคำสั่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่มีใบสั่งจากทางรัฐบาล และที่ผ่านมา เรื่องนี้ตำรวจก็ดำเนินการมาโดย ตลอด ส่วนการทำงานของ พล.ต.อ.วิระชัย คงจะต้องสืบสวนขยายผลในส่วนอื่น ต่อไป เช่น คดีเมจิกสกิน เป็นต้น" แหล่งข่าว ตร. กล่าว
          อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวออกมาในช่วงที่ พล.ต.อ.วิระชัย ติดภารกิจ ที่ต่างประเทศ ซึ่งจะมีกำหนดเดินทางกลับภายในวันที่ 11 พ.ค. เรื่องนี้ทำให้ประชาชน สื่อมวลชน ตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงมีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ เข้ามาควบคุมคดีตลาดใหม่ดอนเมืองอย่างกะทันหัน ทั้งนี้ คงต้องรอฟังคำชี้แจงจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ต่อไป
          ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผบ.ตร.ได้เดินทางเป็นประธานประชุมการทำงานในคดีตลาดใหม่ดอนเมือง ที่ห้องประชุมชั้น 3 กองบังคับการตำรวจนครบาล 2(บก.น.2) ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
          "สันธนะ"ป่วนทำเนียบ อ้างข้อมูลลับ
          ขณะที่ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำ หลักฐานเอกสารที่อ้างถึงความเกี่ยวข้องกับการทุจริตของคนในรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่ร่วมกระทำผิดใน ตลาดใหม่ดอนเมือง ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า หากมีข้อมูลดังกล่าวจริง ให้นำมามอบ เพื่อจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ทำให้ในวานนี้(9 พ.ค.) พ.ต.ท.สันธนะ จึงได้เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพ.ต.ท.สันธนะ เดินไปที่ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล โดยหวังเข้าพบนายกรัฐมนตรี หรือผู้แทนที่นายกรัฐมนตรีสั่งมาโดยตรง แต่เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบไม่อนุญาต พร้อมแนะนำให้ร้องเรียนที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่ส่งเจ้าหน้าที่ทหารที่ไว้ใจได้ หรือเป็นใครก็ได้ที่เป็นทหารใน รัฐบาล มารับเอกสารโดยตรงก็จะเดินทางกลับทันที
          พ.ต.ท.สันธนะ กล่าวว่าข้อมูลและหลักฐานที่นำมายื่นต่อนายกฯนั้น ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดใดๆ จนกว่าจะได้ยื่นหนังสือ ด้วยเกรงว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัย และยืนยันว่าเอกสารหลักฐานที่มีเป็นของจริง หากไม่มีตัวแทนนายกรัฐมนตรี มารับเอกสาร ก็จะไม่มอบหลักฐานให้ใครทั้งสิ้น
          กระทั่งในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ทหารรายหนึ่งออกมารอรับเรื่องที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์แล้ว พ.ต.ท.สันธนะ จึงได้เข้าพบนายทหารดังกล่าว พร้อมกับยื่นข้อเสนอที่ใช้เวลาพูดคุยกันกว่า 40 นาที จากนั้น พ.ต.ท.สันธนะ กล่าวว่า ตนได้ยื่นข้อเสนอ ขอให้ทหารฝ่ายความมั่นคง 2 นาย พร้อมรถ 1 คัน เดินทางไปตนเพื่อรับเอกสารลับที่อ้างว่ามีข้อมูลทุจริตของคนในรัฐบาล เพราะวันนี้ไม่ได้นำเอกสารมาด้วย เนื่องจากเกรงว่า เอกสาร จะถูกรื้อค้นและสูญหาย ซึ่งข้อเสนอนี้ ได้รับการปฏิเสธ ทำให้วันนี้ พ.ต.ท.สันธนะ เดินทางกลับทันทีโดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ อีก
          กสทช.เล็งใช้โทษสูงสุดโฆษณาเกินจริง
          นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยหลังการประชุม กสทช.วานนี้ (9พ.ค.)ว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้ตนมีอำนาจในการระงับการออกอากาศโฆษณาที่ผิดกฎหมายเป็นการชั่วคราว กรณีมีการเผยแพร่โฆษณาที่ผิดกฎหมายผ่านโทรทัศน์ วิทยุ หรือผ่านเว็บไซต์ หลังจากที่เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่มานั่งมอนิเตอร์การออกอากาศโฆษณารวมกับเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสทช. ณ ศูนย์ตรวจสอบเนื้อหาที่ผิดกฎหมายของสำนักงาน กสทช. ได้ส่งรายงานพบการออกอากาศโฆษณาที่ผิดกฎหมายมาให้สำนักงาน กสทช. เพื่อให้สั่งระงับการออกอากาศโฆษณาดังกล่าวทันที เพื่อลดขั้นตอน เพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล
          ทั้งนี้ ขั้นตอนปกติเมื่อมีผู้ร้องเรียนจะใช้เวลา 45-60 วัน ถึงจะสามารถยุติการออกอากาศรายการนั้นได้ สำหรับการดำเนินการเพื่อลดขั้นตอนนี้ ทางทีมเจ้าหน้าที่ อย. จะเข้ามาร่วมมอนิเตอร์กับสำนักงาน กสทช.เป็นเวลา 3 เดือน ขณะเดียวกันก็ส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาการกระทำอันเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ ตามปกติ เมื่อคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเรียบร้อยแล้ว จะส่งเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กสทช. เพื่อพิจารณา ทั้งนี้การระงับโฆษณาจะต้องระงับไปจนกว่าผลการพิจารณาจะเป็นข้อยุติ
          กรณีที่ผู้ประกอบกิจการฝ่าฝืน จะมีโทษปรับตามประกาศ กสทช. เรื่อง การกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 ข้อ 5 (2) จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท และหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับวันละ 1 แสนบาท
          บรรยายใต้ภาพ
          สันธนะ ประยูรรัตน์--จบ--

          ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ