วันอังคารที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ เวลา ๐๙.๒๐ นาฬิกา ณ บริเวณหน้าศูนย์สื่อสารสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ร้อยเอก ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ รับยื่นหนังสือจาก นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และผู้อำนวยการสภาบันต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อขอสนับสนุนหลักการในบทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๘ อันเป็นไปเพื่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมถึงขอเสนอข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอื่นๆ ดังนี้
ข้อเสนอแนะที่ ๑
กำหนดให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเป็นสิทธิของปวงชนชาวไทย ทั้งนี้การจำกัดสิทธิดังกล่าวไม่อาจกระทำได้เว้นแต่โดยอาศัยอำาจบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น
ข้อเสนอแนะที่ ๒
กำหนดให้มีกลไกและมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันมิให้ผู้กระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบเข้าสู่อำนาจรัฐ อาทิ กำหนดให้ผู้สนับสนุนการทุจริตการเลือกตั้งมีความผิดเทียบเท่าผู้กระทำความผิด และเป็นโทษร้ายแรง กำหนดยกเลิกอำนาจหน้าที่การออกใบแดงของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ และกำหนดห้ามมิให้ผู้เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบหรือกระทำการให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม หรือให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะเหตุร่ำรวยผิดปกติหรือไมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ รวมถึงบุคคลซึ่งเคยถูกปลดออก ไล่ออก หรือให้ออกจากราชการเนื่องจากกระทำทุจริต กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือร่ำรวยผิดปกติ มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเข้าสรรหาเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ข้อเสนอที่ ๓
กำหนดให้มีกลไกและมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีประสิทธิภาพ
ข้อเสนอที่ ๔
เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริต และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ภายใต้หลักการดังต่อไปนี้ เพิ่มบทบาทสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยรับมอบอำนาจจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเห็นสมควร รวมถึงจำกัดความรับผิดชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบกรามการทุจริตแห่งชาติในกรณีข้าราชการ โดยกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่เฉพาะกรณีการทุจริตของข้าราชการระดับ ๑๐ ขึ้นไปเท่านั้น และกำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีวาระ ๖ ปี พร้อมทั้งกำหนดให้มีกลไกประเมินผลการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยมุ่งเน้นไปที่อัตราการดำเนินคดีในชั้นศาลได้สำเร็จ และเปิดเผยผลการประเมินดังกล่าวเป็นการทั่วไป
ข้อเสนอที่ ๕
กำหนดให้ ป.ป.ท. เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยมีรูปแบบการสรรหาคณะกรรมการและการบริหารจัดการทำนองเดียวกันกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และไม่ตกอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรม
ข้อเสนอที่ ๖
ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการติดสินบน หรือ Convention on Combating Bribery of Foreign Public Officials in International Business Transactions (OECD Anti-Bribery Convention)
จากนั้นเวลา ๐๙.๒๕ นาฬิกา ได้ยื่นข้อเสนอดังกล่าวให้กับนายธิติพันธ์ เชื้อบุญชัย ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังและสรุปความคิดเห็นที่มีผู้เสนอแนะ ในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วย |