รัฐธรรมนูญกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชการทหาร
Source - ไทยโพสต์ (Th)
Tuesday, February 27, 2018 03:23
65268 XTHAI XOTHER XCLUSIVE XGEN DAS V%PAPERL P%TPD
พลเอกกฤษณะ บวรรัตนารักษ์
ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศไทย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2560 มี 16 หมวด กับบทเฉพาะกาล รวมทั้งสิ้น 279 มาตรา ในรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมีบางประเด็นที่สำคัญและน่าสนใจเกี่ยวข้องกับทางราชการทหาร ที่สมควรนำมาสรุปเพื่อเป็นการเผยแพร่ให้กับส่วนราชการทหารและเจ้าหน้าที่ทหารได้ทราบประกอบการปฏิบัติราชการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ได้ผลดีต่อไป ดังนี้
1.การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการทหารด้วย ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวมตามมาตรา 3 วรรคสอง กล่าวคือ ส่วนราชการทหารต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายบัญญัติ มิใช่ปฏิบัติหน้าที่ตามอำเภอใจ ทุกปฏิบัติการหรือภารกิจจะต้องมีกฎหมายรองรับ เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจใช้อำนาจได้ หากไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยกฎหมายที่บัญญัติขึ้นนั้นต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม กล่าวคือ ทันสมัย เป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของสังคม ดังนั้น การบริหารราชการแผ่นดินและราชการทหารต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือหลักนิติรัฐ กล่าวคือ ต้อง บริหารราชการแผ่นดินและราชการทหารตามกฎหมาย จะดำเนินการใดได้ต้องมีกฎหมายให้อำนาจชัดแจ้ง ในเรื่องใดที่กฎหมายมิได้ให้อำนาจไว้ จะกระทำการนั้นมิได้ และในเรื่องที่กฎหมายให้อำนาจดำเนินการแล้ว ต้องใช้อำนาจนั้นในทางที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด โดยจำกัดสิทธิและเสรีภาพหรือสร้างภาระแก่ประชาชนน้อยที่สุดด้วย
2.ทหารย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นที่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรมตามมาตรา 27 วรรคห้า ซึ่งหมายความว่าในเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรมของข้าราชการทหารสามารถแตกต่างจากของประชาชนทั่วไปได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ เนื่องมาจากภารกิจหน้าที่ของข้าราชการทหารจำเป็นจะต้องเข้มข้นหรือเคร่งครัดในบางเรื่องมากกว่าที่ใช้กับบุคคลธรรมดา เช่น ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยข้าราชการกลาโหมกับการเมือง พ.ศ.2499 พระราชบัญญัติ ว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 และระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยประมวลจริยธรรม พ.ศ.2551 เป็นต้น
3.บุคคลและชุมชนมีสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสาร สาธารณะในครอบครองของส่วนราชการทหารตามที่กฎหมายบัญญัติ และสามารถเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อส่วนราชการทหารและได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยรวดเร็ว ตลอดจนฟ้องส่วนราชการทหารให้รับผิดเนื่องจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำของข้าราชการทหาร พนักงาน หรือลูกจ้างของส่วนราชการทหาร ตามมาตรา 41 โดยรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองที่ไม่ใช่ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงหรือเป็นความลับของทางราชการตามที่กฎหมายบัญญัติ และต้องจัดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารดังกล่าวได้โดยสะดวก ตามมาตรา 59 ซึ่งเรื่องข้อมูลข่าวสารของราชการจะเปิดเผยได้หรือไม่เพียงใด เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 และเมื่อมีการร้องทุกข์ส่วนราชการทหารจะต้องรีบตรวจสอบแล้วแจ้งผลการตรวจสอบให้บุคคลหรือชุมชนที่ร้องทุกข์ทราบโดยเร็ว และหากมีการปฏิบัติหน้าที่โดยกระทำหรืองดเว้นการกระทำอาจถูกฟ้องร้องทั้งทางปกครอง อาญา หรือแพ่งได้
4.บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ สามารถจำกัดเสรีภาพการชุมนุมข้างต้นได้ตามกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น ตามมาตรา 44 กฎหมายที่เกี่ยวข้องในที่นี้โดยตรง คือ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบหลักโดยทั่วไป แต่ในบางกรณีส่วนราชการทหารอาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้
5.การใดที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของรัฐตามหมวด 5 ตั้งแต่มาตรา 51 ถึงมาตรา 63 ประชาชนและชุมชนมีสิทธิที่จะติดตามและเร่งรัด รวมตลอดทั้งฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในทุกมาตราดังกล่าวบัญญัติใช้คำว่ารัฐ "ต้อง" ดำเนินการ ซึ่งจะแตกต่างจากหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ ตั้งแต่มาตรา 64 ถึงมาตรา 78 ซึ่งในทุกมาตราดังกล่าวใช้คำว่ารัฐ "พึง" ดำเนินการ ประชาชนและชุมชนไม่อาจมีสิทธิที่จะติดตามและเร่งรัด รวมตลอดทั้งไม่อาจฟ้องร้องได้เช่นที่บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของรัฐ ซึ่งในหมวด 5 นี้มีมาตราที่สำคัญยิ่งที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมและส่วนราชการทหาร คือ มาตรา 52 ที่บัญญัติให้ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยรัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ และสามารถใช้กำลังทหารเพื่อพัฒนาประเทศได้ การที่รัฐต้องจัดให้มีการทหารที่มีประสิทธิภาพนั้นหมายความรวมถึงรัฐต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยี ที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อสามารถพิทักษ์รักษาตามที่กล่าวข้างต้นด้วย รวมทั้งในการพิทักษ์รักษาดังกล่าวไม่อาจใช้เฉพาะการทหารเพียงอย่างเดียว ต้องใช้หรือคำนึงถึงการทูตและการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย และมีบทบัญญัติชัดเจนให้ใช้กำลังทหารเพื่อพัฒนาประเทศได้ กฎหมายที่มีบทบัญญัติโดยตรงเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม คือ พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ส่วนการใช้กำลังทหารเป็นไปตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการใช้กำลังทหาร การเคลื่อนกำลังทหาร และการเตรียมพร้อม พ.ศ.2545
6.รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป็นเป้าหมายพัฒนาประเทศ อย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่างๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกัน ซึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ตามมาตรา 65 ซึ่งต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2560 ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศหรือยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงที่กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบก็เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ
7.รัฐพึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินและงานของรัฐ ให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การใช้จ่ายเงินงบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และให้บริการแก่ประชาชนให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งรัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม ป้องกันมิให้ผู้ใดใช้อำนาจหรือการ กระทำโดยมิชอบที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ หรือกระบวนการแต่งตั้งหรือการพิจารณาความดีความชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา 76 ซึ่งหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมีบัญญัติในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้แก่ การบริหารราชการเพื่อบรรลุเป้าหมายดังต่อไปนี้
(1) เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
(2) เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
(3) มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
(4) ไม่มีขั้นตอนปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
(5) มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์
(6) ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ และ
(7) มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ ส่วนคุณธรรมหมายถึง การยึดมั่นในความถูกต้องดีงามของศีลธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมที่สังคมยอมรับว่าพึงปฏิบัติ ที่ควรรณรงค์ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม โดยรวมถึงการส่งเสริมสนับสนุนให้มีความซื่อสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทน มีระเบียบวินัย ส่วนจริยธรรมหมายถึงข้อควรประพฤติปฏิบัติ อะไรเป็นสิ่งดี อะไรเป็นสิ่งไม่ดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ สำหรับการแต่งตั้งหรือการพิจารณาความดีความชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามระบบคุณธรรมหมายถึงการพิจารณาที่เสมอภาค เที่ยงธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ โปร่งใส พิจารณาจากความสามารถโดยยึดผลงานและสมรรถนะเป็นหลัก นอกจากนั้น สามารถชี้แจงเหตุผลกับอธิบายตอบประเด็นข้อสงสัยให้เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ในองค์กรนั้นได้อย่างแท้จริง
8.คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอำนาจ เรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในกิจการที่กำลังกระทำหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้ และให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบที่จะต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดหรือในกำกับ ไปให้ข้อเท็จจริง ส่งเอกสาร หรือแสดงความเห็นตามที่คณะกรรมาธิการเรียก ตามมาตรา 129 ในกรณีดังกล่าวคณะกรรมาธิการจะมีหนังสือถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกครั้ง ซึ่งมีการกำหนดขั้นตอนในพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554 และพระราชบัญญัติดังกล่าวมีบทกำหนดโทษอาญาสำหรับผู้ฝ่าฝืนด้วย
9.การห้ามไม่ให้กระทำการใดๆ อันเนื่องมาจากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายอันมีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามมาตรา 144 เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดจัดทำโครงการหรืออนุมัติหรือจัดสรรงบประมาณ โดยรู้ว่ามีการแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการ หรือมีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย ถ้าได้บันทึกข้อโต้แย้งไว้เป็นหนังสือหรือมีหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบ ให้พ้นจากความรับผิด
10.พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้ และเลิกใช้กฎอัยการศึก ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกเฉพาะแห่งเป็นการรีบด่วน เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารย่อมกระทำได้ตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก ตามมาตรา 176 ซึ่งกฎหมายดังกล่าวหมายถึงพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 สรุปได้ว่า การประกาศใช้กฎอัยการศึกและการเลิกใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่คณะรัฐมนตรีโดยนายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายมีประกาศพระบรมราชโองการ ซึ่งการประกาศใช้กฎอัยการศึกดังกล่าว เนื่องมาจากมีเหตุจำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยปราศจากภัยซึ่งจะมีมาจากภายนอกหรือภายในราชอาณาจักร ส่วนผู้บังคับบัญชาทหารซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพันสามารถประกาศใช้กฎอัยการศึกได้เฉพาะแห่งเป็นการรีบด่วน เนื่องมาจากมีสงครามหรือจลาจลขึ้นในพื้นที่ที่รับผิดชอบเท่านั้น โดยผู้บังคับบัญชาทหารที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกเฉพาะแห่งไม่อาจประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกเฉพาะแห่งดังกล่าวได้เอง ต้องเสนอเรื่องตามสายงานไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อมีประกาศพระบรมราชโองการเลิกใช้ต่อไป
11.หนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่คณะรัฐมนตรีต้องเสนอให้ รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ มี 4 ประเภท ได้แก่ 1) หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ 2) หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญา หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ 3) หนังสือสัญญาที่รัฐบาลจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญา และ 4) หนังสือสัญญาที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วม หรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติหรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายกำหนด ตามมาตรา 178 ซึ่งบทบัญญัติในมาตรานี้มีผลให้กระทรวงกลาโหมและคณะรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าต้องเสนอหนังสือสัญญาระหว่างประเทศจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์แบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบต่อไป หรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีบทบัญญัติให้หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาซึ่งเดิมถูกบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับพุทธศักราช 2550 มาตรา 190 รวมทั้งบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไประหว่างราชอาณาจักรไทยกับมิตรประเทศก็ไม่จำเป็นต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาอีกต่อไปเช่นกัน
สรุป รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบและแนวทางการปกครองประเทศ มีบทบัญญัติในบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการทหารและเจ้าหน้าที่ ทหาร ที่จะต้องยึดถือเป็นหลักในการปฏิบัติราชการ เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย จึงจำเป็นที่ส่วนราชการทหารและเจ้าหน้าที่ทหารควรมีความรู้ความเข้าใจบทบัญญัติดังกล่าวเป็นอย่างดี ซึ่งการที่กำลังพลของกองทัพทุกนายทุกระดับชั้นมีความรู้ความเข้าใจในรัฐธรรมนูญฉบับที่บังคับใช้ในปัจจุบันเป็นอย่างดี จะมีส่วนส่งเสริมให้การปฏิบัติหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมและทางราชการทหารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น.--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์